ประเภท และ รูปแบบ ของนวัตกรรม
นวัตกรรมแบ่งได้เป็น 4
ประเภท คือ
(1)
นวัตกรรมค่อยเป็นค่อยไปหรือส่วนเพิ่ม(Incremental
Innovation)
เป็นนวัตกรรมที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีหรือสิ่งเดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งอาจปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น
หรือปรับปรุงเทคโนโลยีหรือสิ่งที่มีอยู่เพื่อจุดมุ่งหมายหรือการใช้งานในรูปแบบอื่น
เช่น ชิปประมวลผลคอมพิวเตอร์ของ Intel
กับดักของนวัตกรรมส่วนเพิ่ม
1)
หลีกเลี่ยงการเพิ่มเติมสิ่งที่ไม่จำเป็น
อาจทำให้ลูกค้าหงุดหงิดกับสิ่งที่ไม่จำเป็น
แพงขึ้น ใหญ่ขึ้น ซับซ้อนขึ้น
ใช้งานยากขึ้น เช่น PlayStation 3 ของ Sony กับ Wii ของ Nintendo
2)
อย่าลงทุนกับนวัตกรรมส่วนเพิ่มทั้งหมด ไม่ทำให้ก้าวไปสู่เทคโนโลยีใหม่ได้จึงทำให้เสียเปรียบการแข่งขัน
(2) นวัตกรรมลำดับขั้น (Modular
Innovation)
มีความสัมพันธ์โดยตรงกับรูปลักษณ์ของสินค้า/บริการกับการเปลี่ยนแปลง ระบบการทำงานของสินค้า/บริการเดิมที่มีอยู่ เพื่อจะได้วัสดุชิ้นส่วนใหม่กับรูปลักษณ์ของสินค้า/บริการใหม่
การเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นกับนวัตกรรมลำดับขั้นตลอดจนการนำวัสดุชิ้นส่วนใหม่ๆ
เช่นในกรณีศึกษาเรื่องนาฬิกาในวิทยุ
และเป็นการพัฒนาสินค้าโดยเปลี่ยนวัสดุชิ้นส่วนใหม่ แต่ระบบการทำงานยังคงเดิม คือ
ได้อรรถประโยชน์คงเดิม เช่น การพัฒนานาฬิกาในวิทยุ
ที่เปลี่ยนส่วนประกอบโดยใช้แหล่งพลังงานใหม่ จากเดิม ไฟฟ้าหรือถ่านไฟฉาย
เป็นการหมุนของนาฬิกา แต่ระบบการทำงานหรือโครงสร้างเดิมนั้นไม่เปลี่ยน คือ วิทยุยังคงทำงานระบบเดิม
(3)
นวัตกรรมการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ(Architectural Innovation
เป็นนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานของระบบ
ที่ก่อให้เกิดการเชื่อมโยงในรูปแบบใหม่ๆ
ในขณะที่วัสดุชิ้นส่วนและการออกแบบผลิตภัณฑ์อาจจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ผู้ผลิตส่วนใหญ่มักจะกระทำในแนวทางนี้ที่จะช่วยก่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มักจะคุ้นเคยกับคำว่า
Minor
Change หรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเพียงบางส่วนหรือเพียงเล็กน้อย และเป็นการพัฒนาสินค้าโดยส่วนประกอบไม่เปลี่ยน
แต่ระบบการทำงานเปลี่ยน เช่น
อาจมีการเปลี่ยนการนำเอาส่วนประกอบมาเชื่อมโยงกันใหม่ ยกตัวอย่างเช่น พัฒนาโทรศัพท์มือถือ IPHONE คือเป็นโทรศัพท์มือถือแบบทัชสกรีน มาเป็น IPAD ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์รูปทรง
(4)
นวัตกรรมปฏิรูป(Radical Innovation)
จะมีผลกระทบอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด
สภาพทางเศรษฐกิจของบริษัทในตลาดนั้น
และรูปแบบการดำรงชีวิตของประชากร
ผลกระทบของนวัตกรรมประเภทนี้ เช่น
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตลาด สร้างตลาดใหม่หรือทำให้สินค้า/บริการเดิมต้องหมดความนิยมไป
บางครั้งอาจต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร
หลังจากได้นำสินค้า/บริการออกสู่ตลาดแล้วต้องมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้หนึ่งข้อหรือมากกว่า
- ต้องเป็นคุณสมบัติการใช้งานแบบใหม่ทั้งหมด
- การปรับปรุงคุณสมบัติการใช้งานที่มีอยู่
ต้องทำให้ดีกว่าเดิม 5 เท่าหรือมากกว่านั้น
- สามารถลดต้นทุนได้ 30 % หรือมากกว่า
-
ต้องเปลี่ยนสิ่งที่เป็นพื้นฐานของการแข่งขันหรือมีผลกระทบในวงกว้าง เช่น
ทีวี โทรศัพท์ กล้องดิจิตอล และเป็นการพัฒนาสินค้าโดยเปลี่ยนแปลงทั้งวัสดุชิ้นส่วนในระบบ
รูปลักษณ์รูปทรงใหม่คือ เป็นการปฏิรูปใหม่ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น VDO เปลี่ยนเป็น VCD กล้องใช้ฟิล์มเปลี่ยนเป็นกล้องดิจิตอล
รูปแบบของนวัตกรรม
(1) นวัตกรรมของผลิตภัณฑ์หรือบริการ(Product
or Service Innovation)
เกิดคุณสมบัติใหม่หรือพัฒนาคุณสมบัติ
คุณลักษณะของสินค้าให้ดีมากขึ้น หรือแตกต่างจากสินค้าเดิม เช่น
เพิ่มคุณสมบัติของผ้าให้หายใจได้ หรือกันน้ำ กระบวนการผลิตใหม่/พัฒนาขึ้นมาก
รวมทั้งการเปลี่ยนเทคนิค เครื่องมืออุปกรณ์ และ/หรือซอร์ฟแวร์
เช่น ลดต้นทุนในกระบวนการทอผ้า, ตลาดประมูลสินค้าออนไลน์อย่างAmazon.com และ E-bay.com,
บริษัท Dell Computer เป็นต้น
(2) นวัตกรรมของกระบวนการ(Process
Innovation)
มักจะใช้เพื่อลดต้นทุนหรือตัดกระบวนการที่ไม่สำคัญออกไปหรือเพิ่มคุณภาพของสินค้า/บริการ เช่น
การใช้นวัตกรรม RFID ในWal-Mart เพื่อให้บริการคิดราคาสินค้าอย่างสะดวกรวดเร็ว
(3) นวัตกรรมของการตลาด(Marketing
Innovation
การออกแบบ,
ช่องทางการจัดจำหน่าย, การบรรจุหีบห่อ, การกำหนดราคา, การส่งเสริมการขาย, เช่น การออกแบบลายผ้าใหม่
โดยไม่เปลี่ยนคุณสมบัติเดิมของผ้า
(4) นวัตกรรมขององค์การ(Organizational
Innovation)
การปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหาร วิธีคิด
วิธีปฏิบัติของการดำเนินงานในองค์การจากรูปแบบเดิมๆไปสู่รูปแบบใหม่
ที่จะช่วยส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานสูงสุด
ซึ่งเป็นการนำเครื่องมือทางการจัดการที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ
เช่น TQM(Total Quality Management), Six Sigma,
Balance Scorecard, Benchmarking เป็นต้น
จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างนวัตกรรมกระบวนการ
และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์
นวัตกรรม
(innovation) เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และสังคมจากความคิดใหม่
นวัตกรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์ คือ
การนำแนวความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้ในรูปแบบใหม่
เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือการทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น
โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงต่างๆ (Change)
ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส (Opportunity)
และถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
นวัตกรรมเป็นตัวแปรที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงองค์การด้านต่างๆ
ได้แก่ ความอยู่รอด การเจริญเติบโต การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
การสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่
และสมรรถนะหลัก ซึ่งนวัตกรรมไม่ใช่แค่การพัฒนาสินค้าใหม่เท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับการลดต้นทุน
การแสวงหาแนวทางการตอบสนองความต้องการของตลาด การยกระดับคุณภาพชีวิต
และการสร้างคุณค่าเพิ่ม
นวัตกรรมของผลิตภัณฑ์หรือบริการ (Product
or Service Innovation)
จะต้องเกิดคุณสมบัติใหม่หรือพัฒนาคุณสมบัติคุณลักษณะของสินค้าให้ดีมากขึ้น
หรือแตกต่างจากสินค้าเดิม เช่น เพิ่มคุณสมบัติของผ้าให้หายใจได้ หรือกันน้ำ
เป็นต้น
นวัตกรรมของกระบวนการ(Process Innovation)
มักจะใช้เพื่อลดต้นทุนหรือตัดกระบวนการที่ไม่สำคัญออกไปหรือเพิ่มคุณภาพของสินค้า/บริการ
เช่น การใช้นวัตกรรม RFID ใน Wal- Mart เพื่อให้บริการคิดราคาสินค้าอย่างสะดวกรวดเร็ว
โดยธรรมชาตินวัตกรรมผลิตภัณฑ์
และ นวัตกรรมกระบวนการ มีความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นอย่างมาก
เมื่ออัตราการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ลดลง
อัตราการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมกระบวนการเพิ่มขึ้น
เนื่องจากมีการออกแบบกระบวนการผลิตให้เป็นมาตรฐาน
เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและผลิตครั้งละในปริมาณที่มาก ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นลักษณะความสัมพันธ์ผกผันกัน
จากรูปกราฟดังกล่าวจะเห็นได้ว่า
ช่วงระยะเวลาของตัวแบบพลวัตรทางนวัตกรรมแบ่งออกเป็น 3
ช่วงระยะเวลา คือ ช่วงระยะเวลาไม่แน่นอน (Fluid Phase) ช่วงระยะเวลาถ่ายโอน(Transitional Phase) และช่วงระยะเวลาเฉพาะเจาะจง(Specific Phase)
โดยช่วง Fluid Phase เป็นช่วงระยะเวลาที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
ความไม่แน่นอนเกิดขึ้น 2 รูปแบบคือ กลุ่มเป้าหมาย
และเทคโนโลยีที่จะนำมาเสนอผู้ผลิตกล่าวคือ เทคโนโลยียังไม่ชัดเจน ผู้ผลิตแย่งชิงความเป็นผู้นำ
และส่วนแบ่งการตลาดยังมีน้อย
เมื่อเทียบกับวงจรชีวิตเศรษฐกิจจะอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว(Recovery)เป็นช่วงที่มีการผลิตไม่มาก
คู่แข่งขันน้อย
มีนวัตกรรมใหม่ๆมานำเสนอ
ตลาดเป็นแบบเฉพาะกลุ่ม(Niche Market)
สินค้ายังไม่เป็นที่รู้จัก
จะใช้แรงงานฝีมือในการผลิต และเป็นสินค้าหลัก
ช่วงระยะเวลาถ่ายโอน(Transitional Phase) ผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับจากตลาด
ผู้ประกอบธุรกิจมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงขึ้น
มีเสถียรภาพมากขึ้น
และเกิดแบบผลิตภัณฑ์มาตรฐาน(Dominant Design)
ขึ้น
เทียบกับวงจรชีวิตเศรษฐกิจอยู่ในช่วงความรุ่งเรือง(Prosperity) เป็นช่วงที่ความต้องการสินค้ามีมาก
มีผู้แข่งขันรายใหม่เริ่มเข้ามาแข่งขัน
การผลิตเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ
เน้นอัตราการตอบสนองของตลาด
ใช้เครื่องจักรในการผลิตแบบLot Size และช่วงการถดถอย(Recession) เป็นช่วงที่เกิดการแพร่กระจายของนวัตกรรม(Diffusion) ขึ้น คนเริ่มไม่ซื้อ แข่งขันกันที่ราคา และสินค้าไม่เป็นที่ต้องการของตลาดและเป็นการผลิตแบบต่อเนื่อง(Continuous)
ส่วนช่วงระยะเวลาเฉพาะเจาะจง(Specific Phase) กระบวนการผลิตให้ความสำคัญกับคำว่าประสิทธิภาพ
สินค้าและบริการเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในตลาด นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมกระบวนการเป็นเรื่องเดียวกันเป็นช่วงที่นำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาพัฒนาและต่อยอดให้ดีขึ้นโดยเน้นที่Incremental
innovation เพื่อเพิ่มความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม
รวมทั้งเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ
ทำให้สามารถลดต้นทุนได้มากที่สุด
ในช่วงนี้จะแข่งขันกันในด้านราคาเป็นสำคัญ
เทียบกับวงจรชีวิตเศรษฐกิจอยู่ในช่วงตกต่ำ(Depression)
เป็นช่วงที่ต้องเร่งสร้างนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อให้แข่งขันกับคู่แข่งได้
ขอบคุณนะคะมีประโยชน์มากคะ
ตอบลบ