สิ่งแวดล้อมในสหัสวรรษหน้า : กระแสไทย กระแสโลก
ในการวิเคราะห์แนวโน้มของโลกในศตวรรษที่
20 ที่กำลังจะสิ้นสุดลง นิตยสาร The Economist ชื่อดังของอังกฤษ
ได้ข้อสรุปว่า สิ่งแวดล้อมโลกที่ผ่านมา 100 ปี
ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดกันเลย ตรงกันข้ามภาวะแวดล้อมของโลกอยู่ในสภาพที่ดีมาตลอดจนถึงปัจจุบัน
และก็คงดำรงอยู่เช่นนี้ต่อไปในศตวรรษหน้า
แม้ว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา
แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหามากมายนัก
เพราะการผลิตทางเศรษฐกิจของโลกก็ขยายตัวมากเช่นเดียวกัน การที่สิ่งแวดล้อมโลกไม่พบกับความหายนะ
(ตามที่หลายฝ่ายพยากรณ์ไว้เป็นเพราะว่าหลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนไป :
มีการเปลี่ยนแปลงด้านราคาของทรัพยากร มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
มีการพัฒนาประชาธิปไตย มีการวางนโยบายสิ่งแวดล้อมเพื่อตอบสนองแรงกดดันจากประชาชน)
จะเห็นได้ว่าเมื่อมีผู้คนมากขึ้น บริโภคมากขึ้น ผลิตมากขึ้น
ก็มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น แต่เมื่อเกิดภาวะขาดแคลนราคาก็จะเริ่มสูงขึ้น
ผลักดันให้มีการประหยัดในการใช้ กระตุ้นให้มีการแสวงหาทรัพยากรแหล่งใหม่ๆ
ประเภทใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ เปิดหนทางใหม่ๆ ให้มนุษยชาติเสมอ
กลไกราคามีประสิทธิภาพพอสมควรในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่า บางครั้งบางกรณี
กลไกตลาดไม่อาจแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างน่าพอใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีบางสิ่งบางอย่างในธรรมชาติที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ในกรณีนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะมีการใช้ทรัพยากรอย่างล้างผลาญ
ไม่มีใครสนใจที่จะอนุรักษ์ ตัวอย่างเช่น ทรัพยากรในทะเลและมหาสมุทร
ซึ่งจะถูกคุมคามต่อไปในศตวรรษหน้า
นอกจากนั้นในบางเรื่อง
ความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมไม่ได้ปรากฏออกมาให้เราเห็นใน "ราคา" เช่น
มีการปล่อยมลพิษออกมาสู่อากาศและน้ำ
สร้างความเสียหายให้แก่ระบบนิเวศและชุมชนอย่างใหญ่หลวง
แต่ราคาสินค้าไม่ได้สะท้อนให้เห็นความเสียหายเหล่านี้เลย
ทั้งนี้เป็นเพราะภาคธุรกิจเอกชนต้องการลดต้นทุนให้ต่ำและต้องการแสวงหากำไรสูงสุดต่อไป
โดยปล่อยให้ชุมชน สังคม และธรรมชาติต้องพบกับความหายนะจากมลพิษ
ดังที่เรากำลังพบเห็นในประเทศที่กำลังพัฒนาทั่วโลก
The Economist ชี้ว่า
ในประเทศอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้า มลพิษไม่ค่อยจะเป็นปัญหาใหญ่มากนัก
เพราะที่นั่นมีระบอบประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว มีการตรวจสอบ
มีการกดดันจากประชาชนตลอดเวลา และรัฐบาลประชาธิปไตยก็ต้องตอบสนองความต้องการของประชาชน
โดยมีความสำนึกว่าต้องทำบางสิ่งบางอย่าง และก็มีการทำสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว
ดังจะเห็นได้ว่ามลพิษทางอากาศในสังคมอุตสาหกรรมที่มีความรุนแรงมานานถึง
300 ปี ได้รับการแก้ไขอย่างน่าพอใจมีสิ่งเดียวที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่
คือ รัฐบาลไม่สามารถควบคุมมลพิษจากรถยนต์ได้ และก็คงเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนาน
ในประเทศที่กำลังพัฒนา ปัญหานี้ก็คงจะยืดเยื้อต่อไปอีกนานในศตวรรษหน้านี้
นิเวศวิกฤตในโลกที่กำลังพัฒนา
ในการวิเคราะห์ของ The Economist อาจมีการมองปัญหาสิ่งแวดล้อมในแง่ดีเกินไป และมองเพียงด้านเดียว อย่างเช่น
เรื่องมลพิษทางอุตสาหกรรม มีการสรุปว่าแต่ละปีการปล่อยมลพิษออกสู่อากาศ
ประเภทต่างๆ มีปริมาณลดน้อยลงเป็นลำดับ แต่ไม่มีการมองว่า
สารพิษหรือมลพิษที่ตกค้างและสะสมในสิ่งแวดล้อมเป็นระยะยาวในโลกอุตสาหกรรมได้เพิ่มขึ้นตลอดเวลา
ซึ่งแนวโน้มนี้จะยังคงมีอยู่ต่อไป ในศตวรรษหน้า เพราะจนถึงบัดนี้
รัฐบาลในประเทศอุตสาหกรรม อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเยอรมนียังไม่ประสบผลสำเร็จ
ในการแก้ไขปัญหามลพิษที่สะสมในระยะยาวแต่อย่างใดเลย
(จากข้อสรุปของนักนิเวศวิทยาการเมืองในเยอรมนี)
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าแนวนโยบายสิ่งแวดล้อมกระแสหลักเน้นแต่การแก้ไขปัญหาที่มองเห็นได้รู้สึกได้
และมุ่งจุดหนักไปทางด้านมลพิษระยะสั้นที่มีผลอย่างฉับพลันต่อสุขภาพของประชาชน
มลพิษที่ตกค้างสะสมระยะยาวเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะมองเห็นได้ง่าย จึงถูกละเลยไป นอกจากนั้นในการวิเคราะห์ปัญหาประชากรของโลก
บางทีมีการมองข้ามข้อเท็จจริงที่สำคัญข้อหนึ่งไป นั่นคือ แม้ว่าอัตราการขยายตัวจะมีไม่มากเหมือนแต่ก่อน
แต่ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษนี้ประชากรโลกจะเพิ่มปีละประมาณ 80 ล้านคน
(เท่ากับประชากรของเยอรมนีทั้งประเทศ) นั่นหมายความว่า ท่ามกลางความยากจนและความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อม
ในชนบท ปริมาณประชากรขนาดนี้จะยิ่งทำให้ภาวะวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมมีความรุนแรงขึ้น
ซึ่งจะกระเทือนไปถึงระบบการผลิตอาหาร และ วิถีการดำรงชีวิตของผู้คนในประเทศที่กำลังพัฒนา
การเพิ่มประชากรอย่างมากๆ เช่นนี้
จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเมืองและการครองชีพในเขตเมืองด้วย
ในขณะนี้ทั่วโลกมีประชากร 2.6 พันล้านคนอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ
ในจำนวนนี้ 1.7 พันล้านคน อยู่ในเมืองของประเทศที่กำลังพัฒนา
จนถึงปี ค.ศ.2015 คาดว่าสัดส่วน จะเพิ่มอย่างรวดเร็วขึ้น 3
ใน 4 ของประชากรเมืองของโลกจะอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนาที่มีความแออัดสูง
และมีปัญหารุนแรงทางด้านสุขอนามัย เมื่อเรานำ "สูตรสิ่งแวดล้อม"
ที่ลือชื่อของนักนิเวศวิทยา Anne และ Paul Ehrlich มาเป็นพื้นฐานในการมองปัญหา เราจะได้ข้อสรุปว่า
ในอนาคตวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมของโลกมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน
สูตรนี้บ่งว่า
วิกฤตสิ่งแวดล้อม (I) ถูกกำหนดโดยจำนวนประชากร (P),
ความเจริญทางเศรษฐกิจ (A) และเทคโนโลยีการผลิต
(T) คือ I = P x A x T
นอกจากจำนวนประชากรแล้ว
ความเจริญทางเศรษฐกิจยังเป็นตัวแปรสำคัญ ยิ่งพัฒนามากก็ยิ่งผลิตมาก บริโภคมากและใช้ทรัพยากรธรรมชาติมาก
สร้างความตึงเครียดให้แก่ระบบนิเวศ นอกจากนี้แล้วการผลิต 1 หน่วยอาจสร้างมลพิษในปริมาณที่มาก
เพราะมีการใช้เทคโนโลยีที่ไม่ค่อยสะอาด เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
ในยุคโลกาภิวัตน์ที่มีการใช้ปรัชญาตลาดเสรีอย่างแพร่หลายทั่วโลกในช่วงเปลี่ยนศตวรรษนี้
เป็นที่วิตกว่า
การค้าการผลิตและการบริโภคจะเร่งให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเผาผลาญ
และมีการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างหนักหน่วงมากขึ้น
ประชาธิปไตยและสิ่งแวดล้อม
¬ สำหรับอนาคตของโลกที่กำลังพัฒนา
เราพอจะสรุปบทเรียนที่สำคัญๆ ได้ว่ามลพิษที่ร้างแรงที่สุดมักจะเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศที่ยากจน
ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาพื้นฐานบางอย่าง นั่นคือ
ในประเทศเหล่านั้นไม่ค่อยจะมีการพัฒนาประชาธิปไตย
ดังนั้นประชาชนจึงไม่มีสิทธิมีเสียง ไม่อาจเข้าถึงข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับ
สิ่งแวดล้อม ไม่อาจเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาล ไม่อาจคัดค้านต่อธุรกิจที่ก่อมลพิษ
ความขาดแคลนประชาธิปไตย จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อม
¬ การมีมลพิษที่รุนแรงขึ้น
ไม่ได้เกิดจากเพราะว่ามีการพัฒนาเศรษฐกิจมากเกินไป
แต่เป็นเพราะว่าในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา รัฐบาลและภาคธุรกิจเอกชนเน้นแต่เรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
(เพื่อเพิ่มรายได้ประชาชาติและการส่งออก) แต่เมื่อการพัฒนา ดำเนินมาระยะหนึ่ง
ผู้คนหลายวงการเริ่มมีการพัฒนาจิตสำนึก "สีเขียว"
และมีการเรียกร้องให้คำนึงถึงหลักการ "การพัฒนาแบบยั่งยืน" มากขึ้น
ในระยะนี้รัฐบาลจึงต้องตอบสนองในการริเริ่มวางนโยบายสิ่งแวดล้อม
โดยมีเป้าหมายว่าการพัฒนาเศรษฐกิจต้องเกิดขึ้น พร้อมกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
แต่ทั้งนี้ต้องมี "ประชาธิปไตยทางสิ่งแวดล้อม"
เป็นพื้นฐานรองรับที่สำคัญ
¬ เมื่อมองจากประสบการณ์
100 ปี ของโลกตะวันตก เราอาจมองไปข้างหน้าได้ว่า ในศตวรรษที่ 21 ประเทศที่กำลังพัฒนา ก็คงจะแสวงหาหนทางแก้ไขวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมของตนเองได้
แต่ประเทศเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ
อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง :
è จะต้องมีข้อมูลข่าวสารที่ค่อนข้างสมบูรณ์เพื่อเปรียบเทียบต้นทุนของการควบคุมทางสิ่งแวดล้อมกับประโยชน์ที่สังคม ได้จากการควบคุมนี้
è มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างมาตรการทางตลาดและราคากับมาตรการทางด้านการวาง
มาตรฐานสิ่งแวดล้อม
ในที่สุดแล้ว
การแก้ไขวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เป็นปัญหาเศรษฐกิจอย่างเดียว (เช่น
การประกาศใช้ภาษีสิ่งแวดล้อม Green Tax) แต่ก็เป็นปัญหาทางการเมืองด้วย
ถ้ามีการใช้มาตรการเข้มงวดเกินไป ก็อาจไม่เป็นที่ยอมรับทางด้านการเมือง
ประชาชนอาจวิพากษ์วิจารณ์ วงการธุรกิจอาจต่อต้านและตอบโต้
(ด้วยการลดต้นทุนทางด้านการจ้างงาน หรือเพิ่มราคาสินค้าให้ประชาชนเดือดร้อน)
ในระบบประชาธิปไตย
นักการเมืองผู้วางนโยบายสิ่งแวดล้อมมักไม่ค่อยนิยมมาตรการที่เข้มงวด
เพราะพวกเขาจะถูกโจมตีอย่างหนัก
โดยที่ยังไม่มีใครมองเห็นว่ามาตรการและแนวนโยบายสิ่งแวดล้อมจะก่อให้เกิดผลมากน้อยแค่ไหน
เป็นที่คาดกันว่าในศตวรรษที่ 21 กลุ่มพลังสีเขียวในประเทศที่กำลังพัฒนาจะมีจำนวนมากขึ้น
และมีการเคลื่อนไหวในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น
และเรียกร้องให้แก้ปัญหาแบบถอนรากถอนโคน
ทั้งนี้เป็นเพราะว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมจะรุนแรงขึ้นโดยที่รัฐบาลค่อนข้างจะตอบสนองล่าช้า
ทั้งนี้เป็นเพราะว่ารัฐบาล อาจจะมีแนวโน้มที่จะไม่ใช้มาตรการเข้มงวดมากนัก
เพราะเป็นห่วงธุรกิจเอกชนและกลัวว่าเศรษฐกิจของชาติจะถูกกระทบกระเทือนเกินไป
นวัตกรรมทางสิ่งแวดล้อม
ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยคาดกันว่าไม่เป็นการยากนักที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในศตวรรษที่
21 เพราะประเทศเหล่านี้ จะแข่งขันกันมากขึ้นทางด้านการปรับปรุงคุณภาพของสินค้า
ซึ่งจะต้องมีการแสวงหานวัตกรรม (Innovation) กันอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "นวัตกรรมทางด้านสิ่งแวดล้อม"
(Environmental Innovation) จะเป็นเครื่องมือ ที่สำคัญมากในการกระตุ้น ให้การพัฒนาเศรษฐกิจของโลกอุตสาหกรรมก้าวหน้าไป
ในขณะนี้ประเทศร่ำรวยก็มีศักยภาพค่อนข้างสูงอยู่แล้วทางด้านการพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ
ในกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงคุณภาพของสิ่งแวดล้อม
นักวิเคราะห์ทางด้านนวัตกรรมมองว่าความสามารถของอุตสาหกรรมในการตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องชี้ที่สำคัญว่าอุตสาหกรรมนั้นๆ
จะมีความสามารถในการแข่งขันระดับโลกได้หรือไม่ ถ้าใครต้องการประสบความสำเร็จ
เขาจะต้องนำเอาแนวคิดหลักที่สำคัญ มาผสมผสานกันในระบบการผลิต
นั่นคือต้องมีการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหามลพิษ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน
โดยเอาหลักการ "นวัตกรรม" มาเชื่อมโยงกับ "การแข่งขัน"
การวางมาตรฐานเข้มงวดทางสิ่งแวดล้อม ยิ่งจะช่วยให้มีการค้นคิดวิธีการผลิตที่เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในปัจจุบันทางฝ่ายรัฐบาลของโลกอุตสาหกรรม อย่างเช่น สวีเดน ก็เห็นด้วยกับ
"แนวทางนวัตกรรมทางสิ่งแวดล้อม"
ในรายงานภาวะสิ่งแวดล้อมของประเทศฉบับล่าสุด
มีการสรุปว่า"นโยบายสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลสวีเดน
มีความสำคัญมากในการเสริมสร้างให้เกิดความทันสมัยขึ้นแก่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้มีการแข่งขันกันใน
ภาค อุตสาหกรรมนี้" ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดใหม่ของโลกตะวันตกที่เน้นเรื่อง "การทำให้เกิดความทันสมัยทางด้านนิเวศ"
(Ecological Modernization) ซึ่งเน้นการค้นคิดเทคโนโลยีทางสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ
และนำมาใช้ในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม
แต่การจะทำเช่นนี้ได้จะต้องมีการปรับโครงสร้างการผลิตใหม่หมด ซึ่งจะต้องมี
"การวางแผนทางสิ่งแวดล้อม" ระดับชาติอย่างเป็นระบบ
รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนโลกทัศน์และจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมของผู้คนในทุกวงการ
แนวคิด "นวัตกรรมทางสิ่งแวดล้อม" ไม่ได้เน้นเรื่องเทคโนโลยีอย่างเดียว
หากแต่ให้ความสำคัญสูงสุดแก้ "การจัดการทางสิ่งแวดล้อม"
(Environmental Management) ด้วย
ซึ่งจะต้องทำกันทั้งในภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน ดังจะเห็นได้จากความสำเร็จในกลุ่มประเทศสวีเดน
เดนมาร์ก ฮอลแลนด์ และเยอรมนี ซึ่งถือได้ว่ากำลังเป็นผู้นำในด้าน
"นวัตกรรมทางสิ่งแวดล้อม"
เอกสารอ้างอิง
1. The Economist, A Special Report : Reflections on the 20th
Century Liberty, Equality, Humility,(September 11-17th 1999)
2. B.BRUEL, Agenda 21-Vision : Nachhaltige Entwicklung (ภาษาเยอรมัน เพื่อต้อนรับงานมหกรรมโลก EXPO 2000 ที่เมืองฮันโนเฟอร์, เป็นการวิเคราะห์แนวโน้มสิ่งแวดล้อมโลกในศตวรรษที่
21, รวมบทความของผู้เชี่ยวชาญเยอรมันเกี่ยวกับ"การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต" พิมพ์โดย CAMPUS, Frankfurt 1999)
3. U.BECK, Schone Neue Arbeitswelt (ภาษาเยอรมันเพื่อต้อนรับงาน
EXPO 2000 เช่นกัน
เป็นการวิเคราะห์แนวโน้มของโลกการทำงานในศตวรรษที่ 21 ซึ่งจะเกี่ยวพันกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างแยกจากกันไม่ได้
พิมพ์โดย CAMPUS, Frankfurt 1999)
ค้นคว้ามาจาก บทความของ มูลนิธิสวัสดี เนื่องจากเป็นบทความที่ดีและตรงกับที่กำลังศึกษาอยู่
เป็นบทความที่มีประโยชน์มากครับ และต้องขอขอบพระคุณ บทความนี้จากมูลนิธิสวัสดี
อีกครั้งครับ